กฎแห่งกรรม

การเกิดภพชาติของมนุษย์ ล้วนเป็นไปตามพลังงานที่เป็นบุรพกรรม หรืวิบากกรรมของจิตวิญญาณมนุษย์แต่ละคน เป็นตัวผลักดันให้เกิดการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเสมอ ซึ่งลักษณะของกรรมนุษย์ต้องเผชิญมักจะเป็นเรื่องราวของเหตุการณ์ สถานการณ์ และบุคคลที่เป็นปัญหาวิบากกรรมเหล่านี้จะเป็นอุปสรรคกีดกันไม่ให้มนุษย์นั้นรู้ความจริงในการมีสองภาคของตนเองด้วย ความสองภาคในตนเองของรูประธรรมมนุษย์ ก็คือ จิตวิญญาณซึ่งเป็นพลังงานกลุ่มหนึ่งที่ถูกส่งมาอาใสอยู่ภายใน คือตัวตนที่แท้จริง กับอีกคนหนึ่งที่เป็นกายมนุษย์หรือสังขารคือ เงาของตัวเราเอง และก็คือกฎแห่งกรรมประการแรก โดยที่มนุษย์ผู้มีกรรมมากจะเข้าใจผิดคิดว่ารูประธรรมสังขารของตนนั้นคือตัวตนที่แท้จริง จึงเกิดการหลงรูปเงาของตน สร้างกรรมใหม่ๆทับซ้อนเพิ่มขึ้นมาอีกมากมายในภพชาตินั้นๆต่อไปเรื่อยๆไม่รู้สิ้นสุด ด้วยพลังอำนาจกรรมที่ตนเองสระสมไว้จนหาทางหลุดพ้นไปจากวงเวียนกรรมนี้ได้ยากกว่าคนอื่นๆ พลังงานกรรมกลุ่มใดๆก็ตาม มนุษย์นั้นต้องชดใช้มันสถานเดียว กรรมนั้นจึงจะสิ้นสุดได้ การชดใช้กรรมของมนุษย์ เพื่อดับพลังงานกรรมของตนแต่ละกลุ่มมี 3 วิธี คือ 1.ต้องเผชิญและฟันฝ่ามันไป 2.ต้องทำกรรมนั้นให้เป็นโมฆะจงได้ 3.ต้องร้องขอจากจักรวาล วิธีหนึ่งเป็นการกำจัดกรรมแบบเก่า สำหรับโลกยุคพลังงานเก่าซึ่งจะสิ้นสุดในต้นปี ค.ศ. 2003 หรือ พ.ศ. 2546 ส่วนวิธีที่สองและสามนั้น เป็นพลังงานอำนาจของตนเองของมนุษย์สำหรับโลกยุคพลังงานใหม่ เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 หรือ พ.ศ. 2546 เป็นต้นไป หลังจากที่โลกปรับเปลี่ยนคลื่นสนามแม่เหล็กโลกใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว มนุษย์แต่ละคนจะมีกลุ่มกรรม หรือวัฏจักรเวลาเป็นของตนเองเสมอ เพื่อการเวียนว่ายตายเกิดใหม่ในแต่ละภพชาติ จนกว่าจะบรรลุรู้แจ้งขั้นสูงสุด คนที่มีกลุ่มกรรม 2 วัฏจักรเวลา หรือต้องเกิดมา 2 ภพชาติซึ่งมีน้อยมาก จะมีชีวิตที่เรียบง่ายเพื่อกำจัดกรรมใดๆ ของตนในชีวิตประจำวัน แต่ล่ะวัน คนที่มีกลุ่มกรรม 3 วัฏจักรเวลา หรือต้องมาเกิด 3 ภพชาติ บทเรียนกรรมที่ต้องฟันฝ่าจะเรียบง่าย เพื่อสะดวกง่ายดานต่อการบรรลุการรู้แจ้งได้ในชาติที่สามอันเป็นการเกิดครั้งสุดท้ายนั้น ถ้าเป็นคนที่มีวัฏจักรเวลามากมายหลายภพชาติ เพราะสั่งสมกรรมดีไว้ในอดีตมาก แม้บางช่วงของการเกิดบางภพชาติจะแลดูเรียบง่ายเพราะเผชิญกับกลุ่มกรรมเบาๆ เป็นเพราะวิญญาณของมนุษย์ทุกคนต้องการมีช่วงเวลาที่มีผลกรรมเบาๆ มาสลับกับช่วงชีวิติที่มีผลกรรมหนักๆ ในภพชาติอื่นบ้าง แต่ในชาติสุดท้ายของการเกิดนั้น จะต้องเผชิญกรรมที่รุนแรงกว่าซึ่งหลงเหลือสืบทอดมาในชาติสุดท้าย ก่อนที่จะบรรลุการรู้แจ้งได้ จิตวิญญาณมนุษย์ที่มาสู่รูปธรรมมนุษย์พร้อมกลุ่มกรรม สถานเบา ถูกส่งตัวมาเพื่อทำให้เกิดการปรับปรุงบทเรียนกรรม อันเป็นบททดสอบเล็กๆ น้อยๆ ซ้ำๆ กันไปหลายบทเรียน ภายในระยะเวลาไม่นานนัก ส่วนมากจะมาพร้อมกับรูปธรรมมนุษย์ อื่นๆที่สิ่งแวดล้อมสัมพันธ์กัน เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดและสายสัมพันธ์ในฐานะของสมาชิก ต่างต้องเผชิญกับปัญหาความขัดแย้ง การทะเลาะเบาะแว้งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ลงลอยกันไม่ได้ง่ายมักจะสร้างปัญหาทางอารมณ์แก่กันและกันอยู่เนืองๆ การชดใช้กรรมในกลุ่มนี้ มีสถานเดียวคือ ต้องใช้ความอดทนอดกลั้นต่อกันไว้ จิตวิญญาณที่มาสู่รูปธรรมของมนุษย์ พร้อมด้วยกลุ่มกรรมระดับ ปานกลาง จะเป็นบทเรียนที่คล้ายคลึงกันกับกลุ่มแรกที่ต้องเกิดมามีความสัมพันธ์กันเป็นครอบครัว พ่อ แม่ พี่ น้อง และวงศาคนาญาติ แต่ระดับความรุนแรงของปัญหาจะมีมากกว่าโดยอาจมีการทุบตีทารุณทำร้าย หรือข่มขู่กันและกันได้ ซึ่งจะสร้างปัญหาทางอารมณ์กันในระดับที่รุนแรงกว่ากลุ่มแรกมาก การชดใช้กรรมในกลุ่มนี้ มีสถานเดียวคือ ต้องให้อภัยต่อกันให้จงได้ จิตวิญญาณที่มาสู่รูปธรรมของมนุษย์ พร้อมกลุ่มกรรมระดับ สูงสุด จะเป็นบทเรียนกรรมที่มนุษย์นั้นต้องเผชิญกับความกลัวในทุกสิ่ง เช่น กลัวความมืด กลัวความสูง กลัวอดกลัวตกน้ำตาย และอื่นๆ นอกจากนี้มนุษย์กลุ่มนี้ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์วิกฤติ เช่น เฉียดตาย การถูกข่มขู่ปองร้าย การถูกทรมาน การถูกทำร้าย หรือถูกเข่นฆ่า เป็นต้น มนุษย์ในกลุ่มนี้บางคน ถ้าเป็นผู้นำคนหมู่มากมักจะเป็นโรค กลัวความล้มเหลว กลัวถูกหักหลังหรือถูกคดโกง กลัวการสูญเสียอำนาจที่มีอยู่ และกลัวการพ่ายแพ้เป็นต้น การชดใช้ในกลุ่มนี้ มีสถานเดียวคือ ต้องเอาชนะความกลัวให้จงได้ มนุษย์พึงรู้ว่า ปัญหาใดๆที่ต้องเผชิญ เป็นเรื่องวิบากกรรมหรือกรรมเก่า แต่การแก้ปัญหาและการตัดสินใจเป็นเรื่องของมนุษย์ในปัจจุบัน ถ้าตัดสินใจและแก้ไขได้อย่างถูกต้องก็สามารถผ่านบทเรียนก็สามารถผ่านบทเรียนนั้นไปได้ พลังงานกลุ่มนั้นๆ ก็จะหายวับไป เพราะกลุ่มกรรมนั้นถูกทำให้เป็นกลางด้วยพลังงานด้านบวก จากการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องของมนุษย์นั่นเอง การชดใช้กรรมของแต่ละกลุ่มข้างต้น เป็นแนวทางการฟันฝ่ากรรมที่มนุษย์ยุคพลังงานใหม่ควรรู้และฝึกฝนไว้ให้ดี การเกิดภพชาติของมนุษย์ ดังได้กล่าวแล้วว่า การที่จิตจักรวาลแบ่งภาคให้จิตวิญญาณมาสู่รูปธรรมมนุษย์ ซึ่งโลกได้สร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมหรือร่างกายมนุษย์เอาไว้ให้จิตวิญญาณแต่ละดวงได้อาศัยเป็นเครื่องมือในการสร้างพลังงานด้านบวก เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกของโลกให้เกิดการสั่นสะเทือนด้านบวกตามกฎของจักวาล สู่ความสมดุลของระบบโลกเองในจักรวาลนี้ ด้วยเงื่อนไขบทเรียนในพันธสัญญาที่สร้างไว้ตั่งแต่ต้นนั้น เมื่อจิตวิญญาณมาสู่รูปธรรมของมนุษย์โลกเข้าจริงๆ ปรากฏว่าบานประตูระหว่างมิติถูกปิดสนิท จนมนุษย์ไม่รู้จักที่มาที่ไปของตนเองเลย จึงได้ก่อกรรมด้านลบเป็นพันธกรรมทับซ้อนขึ้นมากมาย พลังงานกรรมที่สร้างขึ้นไม่อาจสูญหายไปไหนได้กลุ่มพลังงานกรรมเหล่านั้นจะไร้พลังงานอำนาจก็ต่อเมื่อมนุษย์ที่เป็นเจ้าของมัน ทำไห้มันแตกกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางแทรกซึมไปทั่วจักรวาลเท่านั้นคุณสมบัติของกรรมนั้นจึงจะหมดไปได้ ทันทีที่สังขารมนุษย์ดับลง จิตวิญญาณที่เคยฝังเร้นอยู่ในกายมนุษย์ สลัดตนเองออกมาแล้วพุ่งผ่านช่องทางตาที่สามเพื่อกลับคืนสู่จักรวาลตัวตนแก่นแท้ของตนดำรงอยู่ เพื่อกลับคืนสู่สภาพของจิตจักวาลแต่เดิมให้ได้ แต่ปรากฏว่าจิตวิญญาณส่วนใหญ่มักทำไม่สำเร็จดังประสงค์ เนื่องจากกลุ่มพลังงานกรรมทั้งด้านลบและด้านบวกที่ตนเองสร้างสระสมไว้ทั้งในภพชาติปัจจุบันที่พึ่งสิ้นสุดลง และภพชาติอดีตที่ยังเหลืออยู่จะเป็นพลังงานที่ยังยึดรั้งจิตวิญญาณเอาไว้ จนไม่สามารถทะลุทะลวงผ่านพลังงานของตนไปได้สะดวกนัก ผู้ที่มีพลังงานกรรมด้านลบมากๆ จึงมักจะเหนี่ยวรั้งไว้ให้คืนสู่มิติโลกสู่การเกิดใหม่กันต่อไป ถ้ามีพลังงานกรรมด้านลบน้อยๆ จิตวิญญาณอาจสามารถพุ่งผ่านไปได้จนสุดขอบจักรวาลโลก แล้วสถิตหรือดำรงอยู่ ณ ที่นั้น บริเวรสุดขอบโลก มนุษย์เรียกกันด้วยนามสมมติว่า เป็นจักรวาลชั้นพรหม ซึ่งมีทั้งหมดสี่ชั้น จิวิญญาณที่มีโอกาสสู่รูปธรรมในชั้นนี้ได้ จะต้องสร้างสมพลังงานด้านบวกมากๆ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นมนุษย์ผู้หมั่นสร้างกรรมดีโดยหวังสิ่งตอบแทนสูงสุดคือ อยากนิพพาน คือ บรรลุการรู้แจ้งเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นความหลงของมนุษย์อีกอย่างหนึ่ง ถ้าใครได้ทราบความจริงว่า จักรวาลในชั้นสูงสุดนี้แม้วิญญาณของใครสามารถพุ่งผ่านได้ ก็ยังไม่อาจสู่การหลุดพ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดได้เช่นกัน เพราะถ้าพลังอำนาจของจิตวิญญาณนั้นสิ้นสุดลง ก็จะต้องสู่การเกิดใหม่ต่อไปเพื่อหาหนทางสู่จักรวาลที่แท้จริงได้ นอกจากนั้นการดำรงชีวิตอยู่ของรูปธรรมในชั้นนี้ มีอายุยืนกว่าการเป็นมนุษย์หลายเท่านัก มนุษย์ที่เข้าใจในเรื่องนี้ดีพอ ย่อมจะต้องหาหนทานกระทำกรรมดีที่จะนำจิตวิญญาณของตนไปสู่จักรวาลที่เหนือกว่านั้นแน่นอน นั่นคือเส้นทางที่พระพุทธองค์ทรงดำเนินไปดังที่เราได้ทราบกันดีอยู่แล้ว การเกิดภพชาติของมนุษย์จึงเกิดได้ด้วยพลังงานกรรมที่สร้างสมไว้นั่นเอง มนุษย์ที่ต้องการหลุดพ้น จึงต้องพยายามกำจัดกรรมเก่าเสียให้หมดสิ้น และหยุดการสร้างกรรมใหม่ไห้จงได้วงเวียนกรรมจึงจะมีทางสิ้นสุดลง

ปริญญา ตันสกุล. ความลับเบื้องหลังมิติโลก. กรุงเทพฯ: จิตจักรวาล,2547.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น